วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กำหนดการเชิงเส้น 4

การแก้ปัญหากำหนดการเชิงเส้นดดยวิธีใช้กราฟ

การแก้ปัญหากำหนดการเชิงเส้นโดยวิธีการใช้กราฟ
ในการแก้ปัญหากำหนดการเชิงเส้นนั้นต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ส่วนที่เป็นเป้าหมาย จะอยู่ในรูปของ สมการจุดประสงค์ (ในเอกสารเล่มนี้ใช้ P)ส่วนที่ 2 ส่วนที่เป็นข้อจำกัด จะอยู่ในรูปของ อสมการข้อจำกัด
ซึ่งเป็นการแปลงสถานการณ์ปัญหาให้เป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ จากนั้นจึงหาคำตอบของปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ ในการศึกษาครั้งนี้ใช้การกราฟช่วยในการหาคำตอบ
ข้อกำหนด
1. ถ้ากำหนดการเชิงเส้น มีคำตอบที่เหมาะสมเพียงคำตอบเดียว แล้วคำตอบนั้นจะต้องอยู่ที่จุดหักมุมกราฟ
ของระบบอสมการข้อจำกัด
2. ถ้าสมการจุดประสงค์มีค่าน้อยที่สุด หรือมากที่สุด ณ. จุดหักมุม 2 จุดที่มีแขนของจุดหักมุมร่วมกัน 
แล้วสมการจุดประสงค์ดังกล่าวจะมีค่าน้อยที่สุด หรือมากที่สุด ณ. จุดทุกจุดบนส่วนของเส้นตรง
ที่เชื่อมจุดหักมุม 2 จุดนั้น
 แสดงว่าคำตอบที่เหมาะสม จะมีจำนวนนับไม่ถ้วน
ลองสมมติให้กราฟของระบบอสมการข้อจำกัด เป็นดังนี้
นำความจริงจากข้อกำหนดมาวิเคราะห์ กราฟของระบบสมการข้อจำกัดดังนี้
1. จุดทุกจุดในบริเวณส่วนที่แรเงาจะสอดคล้องกับระบบอสมการข้อจำกัด ถูกเรียกว่า 
“เซตของคำตอบที่เป็นไปได้”
2จากเซตของคำตอบที่เป็นไปได้ เราจะนำไปหาจุดใดที่สดคล้องกับสมการจุดประสงค์ที่ให้ค่าน้อยที่สุด 
หรือค่ามากที่สุดจากกราฟของระบบอสมการข้อจำกัด
3. จุดทุกจุดในบริเวณส่วนที่แรเงา มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะทำให้สมการจุดประสงค์มีค่าน้อยที่สุด 
หรือมากที่สุด แต่จุดหักมุมมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า
4. จุดในบริเวณส่วนที่แรเงาที่ทำให้สมการจุดประสงค์มีค่าน้อยที่สุดหรือมากทีสุดถูกเรียกว่า 
คำตอบที่เหมาะสม
5. ถ้ากำหนดการเชิงเส้นมีคำตอบเดียว แล้วจุด A,B,C และ O จุดใดจุดหนึ่ง จะทำให้สมการจุดประสงค์
มีค่าน้อยที่สุด หรือมากที่สุด
6. ถ้าจุด A และ B ทำให้สมการจุดประสงมีค่าน้อยที่สุด แล้ว จุดทุกจุดที่อยู่บนส่วนของเส้นตรง AB จะทำ
ให้สมการจุดประสงค์ มีค่าน้อยที่สุดหรือมากที่สุดด้วย แสดงว่าคำตอบที่เหมาะสมจะมีจำนวนนับไม่ถ้วน
เทคนิคการแก้ปัญหากำหนดการเชิงเส้นโดยวิธีใช้กราฟ
หลักการ
1. ถ้าโจทย์ที่ให้มาเป็นเรื่องราวที่ให้มาเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้บอกตัวแปรออกมาตรงๆ เราซึ่งเป็นผู้อ่านโจทย์
จะต้องตั้งตัวแปรให้เป็นปริมาณต่างๆ จากโจทย์และสร้างสมการจุดประสงค์ กับอสมการข้อจำกัด
2. เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจำกัด เพื่อแสดงจุดทุกจุดในบริเวณส่วนที่แรเงาที่สอดคล้องกับระบบ
อสมการข้อจำกัด
3. หาจุดหักมุมในบริเวณส่วนที่แรเงา
4. นำจุดหักมุมแต่ละจุดไปแทนค่าในสมการจุดประสงค์
4.1 ถ้าได้ค่าน้อยที่สุด (มากที่สุด) เพียงคำตอบเดียว แล้วค่านั้นคือ ค่าน้อยที่สุด (มากที่สุด) 
ของสมการจุดประสงค์
4.2 ถ้ามีจุดหักมุม 2 จุด ที่มีแขนของจุดหักมุมร่วมกันทำให้สมการจุดประสงค์ มีค่าน้อยที่สุด 
(มากที่สุด)
แล้ว จุดทุกจุดบนแกนของมุมนั้น คือ ค่าน้อยที่สุด(มากที่สุด) ของสมการจุดประสงค์ แสดงว่าคำตอบที่เหมาะสม จะมีจำนวนนับไม่ถ้วน
ตัวอย่างที่ กำหนดให้สมการจุดประสงค์ คือ P = 30x + 50y
และอสมการข้อจำกัด คือ 2x + y ≤ 10
x + 2y ≤ 11
x ≥ 0
y ≥ 0
แล้วจงหาว่า P มีค่ามากที่สุดเป็นเท่าไร
วิธีทำ เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจำกัด พร้อมจุดหักมุม
จากรูปจะเห็นได้ว่าจุดหักมุมของรูปสี่เหลี่ยมคือ (0,0) , (0,5.5) , (3,4) และ (5,0) นำจุดหักมุมแทนค่าในจุดประสงค์ ดังตารางต่อไปนี้
จุดหักมุม (x , y)
P = 30x + 50y
(0,0)
(0,5.5)
(3,4)
(5,0)
P = 30(0) + 50(0) = 0
P = 30(0) + 50(5.5) = 275
P = 30(3) + 50(4) = 290
P = 30(5) + 50(0) = 150
ดังนั้น จากตาราง จะพบว่า ค่ามากที่สุดของ P คือ 290 เมื่อ x = 3 และ y = 4
ตัวอย่างที่ 3 กำหนดให้สมการจุดประสงค์ คือ P = 4x + 3y
และอสมการข้อจำกัด คือ 2x + 3y ≥ 12
2x + y ≥ 8
x ≥ 0
y ≥ 0
แล้วจงหาว่า P มีค่าน้อยที่สุด เป็นเท่าไร
วิธีทำ เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจำกัด พร้อมจุดหักมุม
จากรูปจะเห็นได้ว่าจุดหักมุมของรูปเหลี่ยมคือ (6, 0) (3,2) และ(0,8)นำจุดหักมุมแทนค่าในสมการจุดประสงค์ ดังตารางต่อไปนี้
จุดหักมุม (x , y)
P = 4x + 3y
(6,0)
(3,2)
(0,8)
P = 4(6) + 3(0) = 24
P = 4(3) + 3(2) = 18
P = 4(0) + 3(8) = 24
ดังนั้น จากตารางจะพบว่า ค่าน้อยที่สุดของ P คือ18 เมื่อ x = 3 และ y = 2
ตัวอย่างที่ 4 กำหนดให้สมการจุดประสงค์ คือP = 2x + 3y
และอสมการข้อจำกัด คือ x + y ≥ 4 , 5x + 2y ≤ 25
x ≤ 5 , y ≤ 5
x ≥ 0 , y ≥ 0
แล้วจงหาว่า P มีค่ามากที่สุดเป็นเท่าไร
วิธีทำ เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจำกัด พร้อมจุดหักมุม
จากรูปจะเห็นได้ว่า จุดหักมุมของรูปเหลี่ยม คือ (0,4) , (0,5) , (3,5) , (5,0) และ (0,4) นำจุดหักมุมแทนค่าในสมการจุดประสงค์ ดังตารางต่อไปนี้
จุดหักมุม (x , y)
P = 2x + 3y
(0,4)
(0,5)
(3,5)
(5,0)
(4,0)
P = 2(0) + 3(4) = 12
P = 2(0) + 3(5) = 15
P = 2(3) + 3(5) = 21
P = 2(5) + 3(0) = 10
P = 2(4) + 3(0) = 8
ดังนั้น จากตารางจะพบว่าค่ามากที่สุดของ P คือ 21 เมื่อ x = 3 และ y = 5
ตัวอย่างที่ 5 กำหนดให้สมการจุดประสงค์ คือ P = x + 4y
และอสมการข้อจำกัด คือ x + 2y ≥ 8
5x + 2y ≥ 20
x + 4y ≤ 22
x ≥ 0 , y ≥ 0
แล้วจงหาว่า P มีค่าน้อยที่สุดและค่ามากที่สุดเป็นเท่าไร
วิธีทำ เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจำกัด พร้อมจุดหักมุม
จากรูปจะเห็นได้ว่าจุดหักมุมของรูปสี่เหลี่ยม คือ (3,2.5) , (2,5) , (22,0) และ (8,0)
นำจุดหักมุมแทนค่าในสมการจุดประสงค์ ดังตารางต่อไปนี้
จุดหักมุม (x , y)
P = x + 4y
(3,2.5)
(2,5) 
(22,0) 
(8,0)
P = 3+ 4(2.5) = 13
P = 2+ 4(5) = 22
P = 22+ 4(0) =22
P = 8+ 4(0) = 8
จากตารางจะพบว่า
1. ค่าที่น้อยที่สุดของ P คือ 8 เมื่อ x = 8 และ y = 0
2. ค่ามากที่สุดของ P คือ 22 ณ. จุดหักมุม (2,5) และ (22,0) ซึ่งเป็นจุดหักมุมที่มีแขนของจุดมุมร่วมกัน
ดังนั้น จุดทุกจุดบนส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดหักมุม (2,5)และ(22,0)จะทำให้ค่ามากที่สุดของ P คือ 22
ตัวอย่างที่ 6 กำหนดให้สมการจุดประสงค์ คือ P = 3x + 2y
และอสมการข้อจำกัด คือ x + y ≤ 4
x + 2y ≥ 10
x ≥ 0
y ≥ 0
แล้วจงหาว่า P มีค่าน้อยที่สุด และค่ามากที่สุดเป็นเท่าไร
วิธีทำ เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจำกัด พร้อมจุดหักมุม
จากกราฟจะเห็นได้ว่าไม่มีบริเวณส่วนที่แรเงา แสดงว่า เซตของคำตอบที่เป็นไปได้เป็น ดังนี้
ดังนั้น จึงไม่มีจุดที่เป็นไปได้ ปัญหานี้จึงไม่มีคำตอบ
วิเคราะห์เพิ่มเติม ถ้าเราประยุกต์กำหนดการเชิงเส้นช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อให้เกิดประโยชน์หรือประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้ทำการตัดสินใจเราถือว่าสถานการณ์แบบนี้
ไม่น่าจะเกิดขึ้น

กำหนดการเชิงเส้น 3

จุดประสงค์การเรียนรู้
             เมื่อศึกษาหน่วยนี้แล้วนักศึกษาควรมีความสามารถในสิ่งต่อไปนี้
              1. นักศึกษาบอกความหมายของกำหนดการเชิงเส้นได้
              2. นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจกราฟของสมการและอสมการเชิงเส้นสองตัวแปร
              3. นักศึกษาสามารถหาสมการจุดประสงค์ได้
              4. นักศึกษาสามารถหาอสมการข้อจำกัดได้
              5.  นักศึกษาประยุกต์ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กราฟได้

ความหมายของกำหนดการเชิงเส้น
กำหนดการเชิงเส้น (Linear Programming) หมายถึง ในการทำการประกอบกิจการธุรกิจและอุตสาหกรรมตลอดจนทางด้านวิทยาศาสตร์ มีความจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจเพื่อที่จะทำได้ปริมาณบางอย่างมีค่ามากที่สุดหรือมีค่าน้อยที่สุด เช่นนำมาใช้ในการจัดสรรทรัพยากร หรือปัจจัยที่มีอย่างจำกัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือสูญเสียน้อยที่สุดในการดำเนินงาน

ตัวอย่างปัญหากำหนดการเชิงเส้น
1. ผู้ขายสินค้าต้องเลือกชนิดของสินค้าที่จะนำมาขาย เพื่อให้ขายได้ผลกำไรมากที่สุด
2. ผู้จัดรายการโทรทัศน์ต้องการเลือกแบบรายการแสดงเพื่อให้ผู้ชมรายการแสดงมากที่สุด
3. ต้องการจ้างคนงานก่อสร้างเพื่อให้งานเสร็จตามเวลาที่กำหนดในราคาต่ำสุด
ปัญหาต่าง ๆ ตามตัวอย่าง จะมีค่ามากที่สุด หรือ สูงสุด  น้อยที่สุดหรือต่ำสุดอยู่เสมอและมีเงื่อนไขอื่น ๆ ประกอบด้วย เราสามารถที่จะตัดสินใจได้หรือตอบปัญหาเหล่านี้ได้ ก็ต้องกำหนดสมการเชิงเส้น เพื่อช่วยในการแก้ปัญหาเหล่านี้ การกำหนดสมการเชิงเส้นทำได้โดยการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ขึ้นมาโดยที่แบบจำลองนั้นจะประกอบด้วย 2 ส่วน
1. สมการจุดประสงค์ (สร้างจากความต้องการที่เกี่ยวกับมากที่สุด น้อยที่สุด)
2. อสมการข้อจำกัด (สร้างจากเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบเพื่อให้ได้ความต้องการที่เกี่ยวกับมากที่สุด น้อยที่สุด

การหาคำตอบของกำหนดการเชิงเส้น

การหาคำตอบของกำหนดการเชิงเส้น ดำเนินการดังนี้
1.                              นำปัญหามาสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย
1.1                       สมการจุดประสงค์
1.2                       กลุ่มอสมการเงื่อนไข
1.3                       ตัวแปรทุกตัวมากกว่าหรือเท่ากับศูนย์
2. เขียนกราฟของอสมการข้อจำกัด ของทุกอสมการ แล้วแรเงา บริเวณที่หาคำตอบได้(feasible region) ได้แก่บริเวณที่ผลลัพธ์ของตัวแปรทั้งสองเป็นคำตอบได้
3. เขียนจุดยอดมุม (extreme points) ของรูปสี่เหลี่ยมที่เกิดจากการแรเงา
4. ตรวจสอบว่าจุดยอดมุมตามข้อ 3 จุดใดที่ให้ค่าสูงสุดหรือต่ำสุด ตามที่โจทย์กำหนดโดยการแทนค่าหรือ
5. การตรวจสอบโดยการเลื่อนเส้นตรงที่สร้างจากสมการจุดประสงค์ที่ผ่านจุด (0,0) เข้าไปในบริเวณที่หาคำตอบได้ จุด (x,y) จุดแรกที่พบจะให้ค่าต่ำสุดจุดสุดท้ายของ (x,y) ที่พบจะให้ค่าสูงสุด

การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์

               ตัวอย่างที่ 1   ในการผลิตสินค้า 2 ชนิด ชนิดที่หนึ่งได้กำไร 5 บาท ต่อชิ้น ชนิดที่สองได้กำไร 7 บาทต่อชิ้น สินค้าชนิดที่หนึ่งต้องใช้เวลาผลิต 3 นาที และใช้วัตถุดิบ 10 หน่วย ชนิดที่สองใช้เวลาผลิต 4 นาที และใช้วัตถุดิบ 8 หน่วย สมมุติว่าโรงงานมีเครื่องจักรที่จำกัด จะผลิตสินค้าทั้งสองชนิดพร้อม ๆ กัน ไม่ได้ และทำการผลิตเพียงวันละ 7 ชั่วโมง มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะผลิตได้วันละ 200 หน่วย ถ้าต้องการผลิตให้ได้กำไรมากที่สุด ในแต่ละวัน จงสร้างตัวแบบจำลองทางคณิตศาสตร์กำหนดการเชิงเส้นแทนปัญหาการผลิตสินค้านี้
วิธีทำ

สินค้าชนิดหนึ่ง
สินค้าชนิดที่สอง

เวลาที่ใช้ผลิตวัตถุดิบ
3 นาที/ชิ้น
10 หน่วย
4 นาที/ชิ้น
8 หน่วย
วันละไม่เกิน7 ชั่วโมง
มีไม่เกิน200หน่วย
กำไร
5 บาท
7 บาท


ให้  เป็นจำนวนสินค้าชนิดที่หนึ่งที่ผลิต
ให้ เป็นจำนวนสินค้าชนิดที่สองที่ผลิต

ดังนั้น กำหนดการเชิงเส้น จะมีตัวแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ดังนี้
ให้ค่าสูงสุดของ        P =  5 + 7       (กำไร)
เมื่อ                       3+ 4  420                      (เวลา)
                             10+8 200                      (วัตถุดิบ)   และ      0,   0  

  ตัวอย่างที่  2  จงหาค่าสูงสุดของ P ตามเงื่อนไขที่กำหนดให้
                P     =  4x+5y
                            x+2y   16
                              3x+ y   18
                                                     x   0
                                         y   0
     วิธีทำ
                P     =  4x+5y
                            x+2y   16
                              3x+ y   18
                                                     x   0
                                         y   0
จะได้กราฟของอสมการข้อจำกัดดังนี้ (มีกราฟเป็นรูปสี่เหลี่ยมตามที่แรเงาซึ่งรวมถึงด้านทั้งสี่ด้วย)

หาพิกัดของจุด B ให้  x+2y =  16 ………….(1)
                                     3x+ y =  18 ………….(2)
(1)×3,                        3x+6y = 48 ………….(3)
(3)-(2)                              5y = 30
                                          y =  6
แทนค่า    y =  6 ใน (1)
    x + 12 = 16
   x = 16-12 = 4
              จะได้พิกัดของจุด B คือ (4,6)
ตรวจสอบจุดมุม O,A,B และ C ของ สี่เหลี่ยม OABC เพื่อดูค่า Z
จุดมุม (x, y)
P = 4x +5y
O(0,0)
A(6,0)
B(4,6)
C(0,8)
0
24
46
40

ตัวอย่างที่   ช่างตัดเสื้อมีผ้าไหมสีพื้น 16 เมตร ผ้าไหมลายดอก 15 เมตร และผ้าฝ้าย 11 เมตร ถ้าต้องการนำผ้าไหมและผ้าฝ้ายดังกล่าวมาตัดชุดกลางวันและชุดราตรีโดยชุดกลางวันแต่ละชุดใช้ผ้าไหมสีพื้น2 เมตร ผ้าไหมลายดอก 1 เมตร ผ้าฝ้าย 1 เมตร และขายได้กำไรตัวละ 300 บาท ส่วนชุดราตรีแต่ละชุดใช้ผ้าไหมสีพื้น 1 เมตร ผ้าไหมลายดอก 3 เมตร ผ้าฝ้าย 2 เมตร และขายได้กำไรตัวละ 500 บาท ช่างตัดเสื้อผ้าควรตัดชนิดละกี่ชุด เมื่อขายจะทำให้ได้กำไรมากที่สุดและกำไรมากที่สุดเท่าใด
วิธีทำ    ตัวแปรคือจำนวนชุดกลางวันและชุดราตรี โดยมีผ้าที่จะใช้ตัดให้ได้กำไรที่สุดเป็น
 P บาท โดยชุดกลางวัน x ชุด ตัดชุดราตรี y ชุด
                                             P = 300x+500y
สมการ P = 300x+500y เรียกว่า   “สมการจุดประสงค์”
ตัดชุดกลางวัน x ชุด แต่ละชุดใช้ผ้าไหมสีพื้น 2x เมตร ผ้าไหมลายดอก 1x เมตร ผ้าฝ้าย 1x เมตร
ตัดชุดราตรี y ชุด แต่ละชุดใช้ผ้าไหมสีพื้น 1y เมตร ผ้าไหมลายดอก 3y เมตร ผ้าฝ้าย 2y เมตร
มีผ้าไหมสีพื้น 16 เมตร ผ้าไหมลายดอก 15 เมตร และผ้าฝ้าย 11 เมตร
                             
                                               2x + y    16
                                                       x+ y  15
                                                      x+2y  11
ทั้งนี้ x  0 , y 0    
   อสมการทั้งหมดนี้เรียกว่า “ อสมการข้อจำกัด”   แบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับข้อนี้
คือ        P = 300 x+500y
 2x + y    16
                                                                       x+ y  15
                                                                      x+2y  11
                                                                              x  0
0
นำอสมการทั้งหมดนี้เขียนกราฟ
จาก P = 300 x+500y
ณ จุด A(0, 0); P = 0                                       ณ จุด B(8, 0); P = 2,400
ณ จุด C(7, 2); P = 3,100                                               ณ จุด D(0, 5.5); P = 2,750
 ค่าสูงสุด = 3,100 ณ จุด C (7,2)
ให้ตัดชุดกลางวัน 7 ชุด
  ตัดชุดราตรี 2 ชุด ได้กำไรมากที่สุด 3,100 บาท
ตัวอย่างที่ 4    เจ้าของกิจการต้องการทำความสะอาดตู้ 5 ตู้ โต๊ะ 12 ตัวและชั้นหนังสือ 18 ชั้น เขามีคนงาน 2 คน คนแรกสามารถทำความสะอาดตู้ได้ 1 ตู้ โต๊ะ 3 ตัว และชั้นหนังสือ 3 ชั้น ภาย ในเวลา 1ชั่วโมง คนที่สองสามารถทำความสะอาดตู้ได้ 1 ตู้ โต๊ะ 2 ตัว และชั้นหนังสือ 6 ชั้น ภาย ในเวลา 1 ชั่วโมง คนแรกได้ค่าแรงชั่วโมงละ 25 บาท คนที่สองได้ค่าแรงชั่วโมงละ 22 บาท เพื่อจะเสียค่าแรงน้อยที่สุดเจ้าของกิจการควรจ้างทำคนละกี่ชั่วโมง
วิธีทำ
ให้คนแรกทำ  x ชั่วโมง
คนที่สองทำ y ชั่วโมง
โดยเสียค่าแรงน้อยที่สุด P บาท
 P = 25x+22y
คนแรกทำ  x ชั่วโมง จะทำความสะอาดตู้ได้ 1x ตู้ โต๊ะ 3x ตัว และชั้นหนังสือ 3x  ชั้น
คนที่สองทำ y ชั่วโมง จะทำความสะอาดตู้ได้ 1y  โต๊ะ 2y ตัว และชั้นหนังสือ 6y   ชั้น
 x + y     5
     3x +2y 12
     3x +6y 18
                                                                             x  0
 y 0


(x, y)
P = 25 x+ 22 y
(0, 6)
(2, 3)
(4, 1)
(6, 0)
132
116
122
150

ค่าต่ำสุด = 116 ณ  B(2,3)               จ้างคนแรกทำงาน   2 ชั่วโมง
                 จ้างคนที่สองทำงาน 3 ชั่วโมง

ตัวอย่างที่  5  ในการผลิตปุ๋ยชนิดหนึ่งต้องการผลิตให้ได้ต้นทุนถูกที่สุด โดยให้ปุ๋ยที่ได้มีแร่ธาตุ N-P-K อย่างน้อย 9,5 และ 6 หน่วย ตามลำดับในปุ๋ย 100 ปอนด์ ของสารอาหาร x และ 100 ปอนด์ของสารอาหาร y ให้แร่ธาตุ  N – P – K  ตามตารางและสมมุติราคาสารอาหาร x และ y เป็น 3 บาทและ5 บาท ต่อ 100 ปอนด์ ตามลำดับ ดังนั้น จะต้องใช้สารอาหาร x  และสารอาหาร y  อย่างละเท่าไร

แร่ธาตุ
น้ำหนัก
จำนวนที่ต้องการอย่างน้อย
สารอาหาร  x
สารอาหาร  y
N (ไนโตรเจน)
P (ฟอสฟอรัส)
K (โปตัสเซียม)
1 หน่วย
1 หน่วย
2 หน่วย
3 หน่วย
1หน่วย
1 หน่วย
9 หน่วย
5 หน่วย
6 หน่วย
ราคาสารอาหาร ต่อ 100 ปอนด์
3 บาท
5 บาท

วิธีทำ
   ให้ x แทนจำนวนหน่วยของสารอาหาร x ที่ใช้ในหน่วย 100 ปอนด์ และให้ y แทนจำนวนหน่วยของสารอาหาร y ที่ใช้ในหน่วย 100 ปอนด์ เขียนข้อมูลที่ได้ในตัวแบบกำหนดการเชิงเส้น ได้ดังนี้

ให้ค่าต่ำสุดของ                             C = 3x + 5y
                                                                              x +3y  9
                                                                              x +   Y   5
                                                              2 x +y 6 และ x  0,  y 0

เขียนกราฟแสดงขอบเขตที่เป็นไปได้ ดังต่อไปนี้
      ขอบเขตที่เป็นไปได้ คือส่วนที่แรเงามี A,B,EและF เป็นมุมที่เป็นไปได้จะสามารถแก้สมการหาพิกัดของมุมทั้งสี่ได้อย่างง่าย และหาค่า C = 3x + 5y ที่สอดคล้องกับค่า (x,y) ณ มุมทั้งสี่ที่หาได้ดังตารางต่อไปนี้

มุม
พิกัดของมุมที่เป็นไปได้
ค่า C = 3x + 5y
A
B
E
F
(9,0)
(3,2)
(1,4)
(0,6)
27
19
23
30

ดังนั้นผลเฉลยเหมาะที่สุด คือ ค่า C ต่ำที่สุดอยู่ที่มุม B(3,2) นั่น คือ จะต้องซื้อสารอาหาร x จำนวน 300 ปอนด์ สารอาหาร y จำนวน 200 ปอนด์ และจะเสียค่าใช้จ่ายต่ำสุดเพียง 19 บาท
ข้อสังเกต จากแผนการหาส่วนผสมปุ๋ยตามตัวอย่างนี้  จะพบว่าในส่วนผสมดังกล่าว เราได้ธาตุ N และ P พอดีกับจำนวนขั้นต่ำที่ต้องการ แต่ได้แร่ธาตุ K เพิ่มขึ้นกว่าจำนวนขั้นต่ำถึง 2 หน่วย

ตัวอย่างที่    6  บริษัทผลิตกระดาษโรเนียวแห่งหนึ่ง มีโรงงานผลิตกระดาษ 2  แห่ง แต่ละแห่งผลิตกระดาษที่มีคุณภาพแตกต่างกัน 3 ชนิด คือ ชนิดเลว ปานกลาง และชนิดดี บริษัทต้องการผลิตกระดาษต้องการผลิตกระดาษคุณภาพชนิดเลว 16 ตัน ชนิดปานกลาง  5 ตัน และชนิดดี 20 ตันทั้งนี้ เพราะต้องการผลิตให้พอดีกับปริมาณที่ลูกค้าสั่งซื้อ ค่าใช้จ่ายในการผลิตกระดาษจากโรงงานที่ 1 วันละ 25,000 บาทโรงงานที่ 2 วันละ 50,000 บาท ซึ่งแต่ละโรงงานจะผลิตกระดาษแต่ละวันได้ ดังต่อไปนี้
              โรงงานที่ 1 ผลิตกระดาษคุณภาพชนิดเลวได้ 8 ตัน ปานกลางได้ 1 ตัน และชนิดดีได้ 2 ตัน
              โรงงานที่ 2 ผลิตกระดาษคุณภาพชนิดเลวได้ 2 ตัน ปานกลางได้ 1 ตัน และชนิดดีได้ 7 ตัน
   จงสร้างตัวแบบกำหนดการเชิงเส้นแทนปัญหานี้โดยต้องการหาเวลาการผลิต (หน่วยเป็นวัน) ที่เหมาะสมเพื่อให้ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด

                   วิธีทำ    สร้างตารางแสดงข้อมูลต่าง ๆ จากโจทย์ ได้ดังต่อไปนี้


ปริมาณกระดาษที่ผลิตต่อวัน(ตัน)
ค่าใช้จ่ายต่อวัน(บาท)

ชนิดเลว
ชนิดปานกลาง
ชนิดดี
โรงงาน 1
โรงงาน 2
8
2
1
1
2
7
25,000
50,000
ความต้องการ
16
5
20

ให้ xแทนจำนวนที่ผลิตกระดาษของโรงงานที่ 1
ให้ xแทนจำนวนที่ผลิตกระดาษของโรงงานที่ 2
ดังนั้นตัวแบบกำหนดการเชิงเส้นจะได้ ดังต่อไปนี้
ให้ค่าต่ำสุด P = 25,000 x1+50,000 x                        (ค่าใช้จ่าย)
เมื่อ      8x1+2x 16                                                      (ปริมาณกระดาษชนิดเลว)
x1+x2      5                                                      (ปริมาณกระดาษชนิดปานกลาง)
2x1+7x2  20                                                     (ปริมาณกระดาษชนิดดี)
x1 0, x20
เขียนกราฟของเงื่อนไขบังคับได้ดังต่อไปนี้
ขอบเขตที่เป็นไปได้เป็นเซตอนันต์ ซึ่งประกอบด้วยจุดมุมที่เป็นไปได้ต่อไปนี้ (0,8),(1,4),(3,2) และ (10,0)
เปรียบเทียบค่า P ณ จุดมุมทั้งสี่ดังต่อไปนี้
มุม
ค่า P = 25,000 x1+50,000 x2
(0,8)
<





กำหนดการเชิงเส้น